วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

Harmony of Life


ค่ำคืนหนึ่งกับสวนพลูคอรัส
หากไม่นับการขับร้องประสานเสียงในศาสนกิจของคริสตชน และวงขับร้องประสานเสียงในสถาบันการศึกษา เช่นในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ในเมืองไทยก็ดูเหมือนจะมีวงขับร้องประสานเสียง อย่างที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า ควัยเออร์ (Choir) หรือ คอรัส (Chorus) อยู่น้อยเต็มที

หนึ่งในนั้นก็คือ คณะนักร้องประสานเสียงสวนพลู (Suanplu Chorus) ภายใต้การอำนวยการของ “ครูดุษ” อาจารย์ดุษฎี พนมยงค์ และการอำนวยเพลงของอาจารย์ไกวัล กุลวัฒโนทัย ซึ่งบัดนี้ก็อยู่ยั้งยืนยงมาจนเข้าสู่ปีที่ 9 และกวาดรางวัลจากการประกวดวงขับร้องประสานเสียงมาแล้ว ทั้งในสาธารณรัฐประชาชนจีน สหพันธรัฐเยอรมนี และสาธารณรัฐออสเตรีย แต่ในเมืองไทยเอง นักร้องคณะนี้ก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสขึ้นเวทีแสดงบ่อยนัก ดังนั้น คอนเสิร์ตประจำปี 2552 ที่ใช้ชื่อว่า Harmony of Life ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จึงยังไม่เพียงพอแก่ความต้องการของมหาชน กระทั่งต้องนำกลับคืนขึ้นสู่เวทีตามเสียงเรียกร้องอีกครั้ง เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2552 ซึ่งก็ยังคงเรียกผู้ชมได้เต็มแน่นหอประชุมสถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ (สุขุมวิท 55) เช่นเดียวกัน

การแสดงเริ่มด้วยธรรมเนียมการไหว้ครู ทั้งฝั่งไทยและฝ่ายตะวันตก ด้วยเพลงคุรุนมัสการ (บทประพันธ์โดยผู้อำนวนเพลง ขับร้องเป็นภาษาบาลี) และเพลงครู อย่าง Laudate Dominum ของโมสาร์ท (W. A. Mozart) ก่อนที่ฉวัดเฉวียนข้ามทั้งกาละและเทศะ ไปสู่เพลงสารพัด เช่น Hallelujah ของแฮนเดล (G. F. Handel) ที่นำมาเรียบเรียงเสียงประสานใหม่ให้เป็นแนวเพลงขับร้องแบบ Gospel เพลง Rosas Pandan เพลงพื้นเมืองเซบูจากฟิลิปปินส์ หรือเพลง Ipaphonia เพลงแนว Contemporary ที่ Branko Stark
นักแต่งเพลงชาวโครเอเชียแต่งขึ้นสำหรับที่ประชุมนักภาษาศาสตร์ ด้วยการเล่นกับเสียงพยัญชนะต่างๆ ในภาษาตระกูลยุโรป

เมื่อเข้าสู่ครึ่งหลัง การแสดงก็เปลี่ยนเป็นเพลงไทย (เช่นเดียวกับที่นักร้องและผู้อำนวยเพลง เปลี่ยนชุดให้ออกแนวไทย/ตะวันออก) เพลงส่วนใหญ่ก็เป็นเพลงที่ผู้ชมผู้ฟังคุ้นเคยกันดี เช่น เขมรไทรโยค เส่เลเมา ยอยศพระลอ ส้มตำ และ รำวงเมดเลย์ ที่พิเศษ ก็คือเพลง คนทำทาง บทเพลงจากวงต้นกล้า วงดนตรีไทยแนว “เพื่อชีวิต” ในยุคหลัง 14 ตุลาคม ซึ่งใช้เนื้อร้องจากบทกวีของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ มีการอ่านบทกวีประกอบ โดยvอาจารย์ดุษฎี พนมยงค์ ซึ่งครูใช้เสียงและจังหวะได้อย่างทรงพลัง

ข้อเปรียบเทียบอย่างหนึ่งที่รู้สึกได้ คือเพลงในครึ่งหลังที่เป็นเพลงไทยนี้ ทางวงตั้งอกตั้งใจให้มีกลิ่นอายความเป็นไทยอย่างยิ่ง หลายเพลงถึงกับมีวงดนตรีไทยฝีมือเยี่ยมมาร่วมแจม ทว่า เนื่องจากเพลงทั้งหมดมาจากผู้เรียบเรียงเสียงประสานคนเดียวกัน ซ้ำยังชื่อ-นามสกุลเดียวกันกับผู้อำนวยเพลง ดังนั้น สีสันของแต่ละเพลงจึงฟังดูคล้ายๆ กันไปหมด
อย่างไรก็ตาม การใช้ท่าทาง การร่ายรำ (รำวงเมดเลย์, ยอยศพระลอ) รวมถึงอุปกรณ์ประกอบ (เช่น ครก ในเพลงส้มตำ) ตลอดจนการที่ให้คนดูได้ร่วมร้องเพลงภายใต้การอำนวยเพลงของผู้อำนวยเพลงคนเดียวกัน ในเพลง เส่เลเมา ก็ถือเป็นสีสัน ที่สร้างจุดเด่น ความสนุกสนาน และความประทับใจให้แก่ผู้ชมได้เป็นอย่างดี

สิ่งหนึ่งที่คนดูทุกคนรับรู้ได้ชัดเจน ก็คือความสนุกและความสุขของนักร้อง ที่ฉายชัดผ่านออกมาทางสีหน้า แววตา และรอยยิ้มของทุกคน ลำพังเพียงเท่านั้น การร้องเพลงก็บรรลุวัตถุประสงค์ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะความสอดคล้องประสานกันของชีวิต อย่างที่ใช้ชื่อคอนเสิร์ตว่า Harmony of Life นั้น ก็สื่อแสดงมาด้วยการทำงานร่วมกันระหว่างนักร้องชายหญิง ทั้งโซปราโน อัลโต เทเนอร์ และเบส ร่วมกับผู้อำนวยเพลง และนักดนตรี ได้อย่างงดงามกลมกลืน

ผู้ชมรายหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ ถึงแก่บ่นว่า กำลังสนุกก็จบเสียแล้ว!

ถ้าจะมีข้อวิจารณ์บ้าง ในสายตา (และหู) ของผู้ชมคนนี้ ยังคิดว่า คณะนักร้องประสานเสียงสวนพลู อาจต้องหาทางเพิ่มปริมาณนักร้องชายให้ได้มากกว่านี้ เท่าที่เห็นบนเวที ดูเหมือนจะมีนักร้องหญิงอยู่ราว 20 กว่าคน ขณะที่นักร้องชายมีจำนวนเพียงครึ่งเดียวของนักร้องหญิง ความไม่สมดุลแบบนี้ แม้จะเข้าใจได้ว่าเกิดจากปัญหาการหานักร้องชายได้ลำบาก ซึ่งเป็นปัญหาอมตะนิรันดร์กาลของคณะนักร้องประสานเสียง (ไม่เฉพาะแต่ในเมืองไทย ได้ยินว่าที่อื่นๆ ก็เป็น) แต่ก็สร้างความไม่สมดุลของเสียงขึ้นบนเวทีด้วย เพราะเสียงเบสและเทเนอร์ของผู้ชาย ที่จะสร้างคอร์ด “อุ้ม” ทำนองหลักเอาไว้ ก็จะไม่มีพลังมากพอ โดยเฉพาะในเพลงแนวคลาสสิค เช่น Laudate Dominum ซึ่งรู้สึกได้ชัดเจนว่าเสียงผู้ชายมีน้อยเกินไป

อย่างไรก็ดี ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับสวนพลูคอรัส และก็อยากจะรอดูคอนเสิร์ตในปีที่ 10, 11, 12... ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเติมลมหายใจให้แก่วงการขับร้องประสานเสียงในเมืองไทย ที่ดูคล้ายๆ จะเคลื่อนตัวสลับหยุดนิ่งอยู่เสมอมา...

Harmony of Life
คณะนักร้องประสานเสียงสวนพลู
สถาบันปรีดี พนมยงค์
5 กันยายน 2552
http://www.suanpluchorus.com
เผยแพร่ครั้งแรก ที่นี่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น